top of page
ค้นหา
  • รูปภาพนักเขียนPrayoon Hongsathon

เสียงหัวเราะ หยาดน้ำตาบทสรุปเพื่อให้เรียนรู้


หากหน้ากล้องคือความงามและการจัดฉาก เบื้องหลังก็คือความจริงซึ่งมีทั้งเสียงหัวเราะและหยดน้ำตา.. นี้คือนิยามของกองถ่ายหนังทุกเรื่องไม่เว้นแม้แต่ “ระนาดเอกทางเปลี่ยน” ที่เรื่องราวการทำหนังของเด็กแห่งบ้านเรียนละครมรดกใหม่ หลายคนอาจเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน เฮฮา หากแต่ความจริงอีกด้านหนึ่งที่คนทั่วไปไม่ได้รับรู้นั้นกลับหนักหนาด้วยเหตุการณ์อันแสนบีบคั้น บีบเค้น กดดัน เครียด กระทั่งหลายคนต้องหลั่งน้ำตาออกมาเพื่อระบายเรื่องราวอัดอั้นในใจของพวกเขา


หากใครติดตามเพจ “ระนาดเอกทางเปลี่ยน” ตั้งแต่แรก ย่อมเห็นเส้นทางและสามารถปะติดปะต่อภาพกระบวนการสร้างหนังของเด็กกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ประสีประสากับการถ่ายทำหนังใหญ่เอามากๆ แต่พวกเขาก็ค่อยๆ เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากการได้ลงมือทำด้วยกัน โดยมีผู้ใหญ่ไม่กี่คนที่เป็นมืออาชีพจริงๆ ในสายวิชาทำหนังคอยให้คำปรึกษาอยู่ห่างๆ ผิดก็ได้เรียนรู้แก้ไข ถูกก็ยึดเอาเป็นแบบอย่างแนวทาง กระนั้นเสียงดุด่าและแรงคาดคั้นซึ่งลอยโขมงโฉงเฉงอยู่ทั่วบริเวณกองถ่ายก็หาได้หมดไป

หลายๆ ครั้งก็เป็นพวกเขาเองที่ดูอืดเอื่อยเหนื่อยหน่าย อันอาจจะเกิดจากภารกิจถ่ายทำหนังที่กินเวลายาวนาน ไม่รู้จะไปจบสิ้นวันไหน หรืออาจเป็นเพราะร่างกายกรอบล้ากับภาระรับผิดชอบที่ล้นเกินตัวในช่วงเวลาจำกัด เมื่อบวกกับแรงคาดคั้น คาดหวัง และเสียงดุด่าว่ากล่าว จึงกลายเป็นความทดท้อที่บั่นทอนจิตใจอยู่ลึกๆ

การแอบไปนั่งร้องไห้เงียบๆ คนเดียว ปล่อยความอัดอั้นให้มลายไปกับหยาดน้ำตา จึงเป็นเรื่องอันซีนหลังกองถ่ายที่คนอื่นไม่รู้ แต่อย่างไรก็ตาม ภายหลังการปล่อยน้ำตาให้หยาดไหล จึงได้ทำความเข้าใจในความผิดพลาดของตน ยอมรับมัน แล้วลุกขึ้นมาฟัดกับภารกิจตรงหน้าต่อไป อย่าให้ใครมาหัวเราะกับคำว่าพวกเด็กสร้างบ้าน ในเมื่อพวกเขาต้องไปไกลกว่าแค่การสร้างบ้านธรรมดา..จะสร้างบ้าน สร้างโรงเรียน สร้างหนัง สร้างศิลปะ หรือแม้กระทั่งสร้างอารยะธรรมใหม่ การสร้างครั้งนี้ต้องให้ประจักษ์แก่สายตาผู้คน ด้วยมือและหัวใจของพวกเขาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ทุกสิ่งอย่าง ผ่านเรื่องราวที่อยู่ในหนังเรื่องหนึ่ง- -

“ระนาดเอกทางเปลี่ยน”

- - คือเสียงหัวเราะและหยาดน้ำตาจากพวกเขา..!

แผนงานและความจริง

กระบวนการถ่ายทำครั้งหนึ่ง...

คิวถ่ายแรกของวันนั้นจะเริ่มที่ริมฝั่งโขง พี่จิ๊บ สุชาดา ผู้จัดการกองถ่ายบอกน้องๆ ทุกคนว่า จะใช้เวลาที่นั่นไม่เกินเที่ยง จากนั้นต้องเคลื่อนย้ายกองไปถ่ายที่เรือนชัชวาลย์ 2 บ้านแก่งปลาปก อำเภอปากชม...

โดยปกติ หลังการถ่ายทำในทุกวันทีมงานกองถ่ายซึ่งก็คือพวกเด็กๆ แห่งบ้านเรียนละครมรดกใหม่นั่นแหละ จะต้องมีการประชุมเตรียมแผนงานในวันต่อไป ใครรับผิดชอบอะไร ฝ่ายไหน ก็แจกแจงหน้าที่กัน เช่นเดียวกับคืนก่อนนั้น ทว่าในวงประชุมคืนนั้นมีเรื่องเฉพาะหน้าที่ต้องจัดการให้คลี่คลายคือ ช่วงนั้นมีกิจกรรมอื่นแทรกเข้ามา จึงต้องแบ่งกำลังคนบางส่วนลงไปประจำการที่สำนักมรดกใหม่ คลองหก ปทุมธานี กำลังคนที่เหลืออยู่จึงต้องแบ่งหน้าที่กันให้ดี และภายหลังที่พี่จิ๊บชี้แจงรายละเอียดแผนการการถ่ายทำเสร็จสิ้นแล้ว น้องๆ ทุกคนรับปากพี่จิ๊บว่าไม่มีปัญหา การประชุมก็แยกย้าย บางคนต้องตรวจเช็กข้าวของ อุปกรณ์ แล้วเข้านอน..


สถานที่ถ่ายทำเช้านั้นคือ คุ้งน้ำแห่งหนึ่งของแม่น้ำโขง พิกัดอยู่ห่างจากตัวอำเภอเชียงคานประมาณ 20 กิโลเมตร บนเส้นทางสายเชียงคาน-ปากชม พิกัดนี้ห่างจากบ้านพักของทีมงานกองถ่ายเกือบ 50 กิโลเมตร ห่างจากตัวจังหวัดเลยเกือบ 80 กิโลเมตร จุดพักกับจุดถ่ายทำ รวมถึงจุดลำเลียงเสบียง

(วันนั้นพวกเขาเลือกสั่งอาหารจากร้านอาหารในตัวเมืองเลย) ไกลกันขนาดนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงมากๆ

แม้เด็กๆ ทุกฝ่ายจะวางแผนเรื่องเวลาไว้แล้วก็ตาม


ตีสามกว่าๆ พวกเขาเริ่มปลุกกันตื่น ฝ่ายฉาก-สถานที่ ซึ่งมีพี่อาร์ทเป็นหัวหน้า ต้องออกเดินทางไปสถานที่ถ่ายทำก่อนฝ่ายอื่น อาร์ทเห็นว่าฉากที่จะถ่ายทำวันนั้นไม่ใช่ฉากใหญ่ พร็อพไม่เยอะ จึงคัดเอาน้องไปช่วยงานแค่ไม่กี่คนคือ คอปเตอร์ และชาน ไปเตรียมทุกสิ่งอย่างให้พร้อม โดยหนีบเอาพี่อาร์ผู้ซึ่งรับผิดชอบเรื่องบันทึกเสียงไปอีกคน พวกเขาต้องประสานกับทีมตากล้องของอาสุทัศน์ด้วย เดดไลน์ในการเตรียมสถานที่คือ หกโมงเช้าเมื่อผู้กำกับและนักแสดงตัวหลักมาถึงต้องได้สั่งแอ็คชั่น




ฝ่ายเสื้อผ้า มีพี่กิ๊กเป็นคนมอบหมายงาน มีน้องต้าคอยจัดเตรียมเสื้อผ้านักแสดง กิ๊กกับต้ายังต้องแต่งหน้าให้นักแสดงด้วย มีน้องแพรวาซึ่งทำหน้าที่ตีสเลดและจดบันทึกการถ่ายทำคอยช่วยทีมเสื้อผ้าหน้าผมอีกแรง พวกเขาเดินทางจากบ้านพักพร้อมหนุ่มๆ ฝ่ายสถานที่ด้วยรถกระบะหนึ่งคัน


ส่วนพี่แชมป์ ซึ่งความจริงแล้วต้องอยู่ช่วยฝ่ายฉากและสถานที่ แต่วันนั้นเขาต้องขับรถอีกคันไปรับอาหารในตัวเมืองแต่หัวรุ่ง รับอาหารแล้วค่อยขับรถไปจุดถ่ายทำ คำนวณเวลาแล้วอาหารน่าจะไปถึงหน้ากองสักเจ็ดโมงครึ่ง ก่อนแปดโมงทุกคนได้กินข้าว แชมป์จะได้ไปช่วยฝ่ายฉากและสถานที่ทำอย่างอื่น...


นั่นคือภาพในหัวของพวกเขา ยิ่งเห็นแต่ละคนตื่นมาทำหน้าที่ของตนตามที่วางแผนเอาไว้ ทุกสิ่งอย่างก็น่าจะดำเนินไปตามกำหนดเวลา หน้ากองไหลรื่น การถ่ายทำไม่มีปัญหา.. แต่ไฉนเล่า หลายสิ่งหลายอย่างกลับพลิกผัน การทำงานผิดพลาดจนระเบิดต้องลงกองถ่ายตูมใหญ่ และจากที่ต้องถ่ายทำฉากริมน้ำโขงแค่ครึ่งวัน กลับเป็นว่าทุกคนต้องทนอยู่กับแดดเปรี้ยงๆ กลางหินและฝุ่นทราย ลากยาวยันตะวันตกดิน!


ควรจะบอกความจริงกับผู้อ่านสักหน่อยว่า เรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ในกองถ่ายที่ได้เล่ามาและจะเล่าต่อไปนี้นั้นเป็นความจริง หาได้นั่งเทียนเขียน โดยผู้เล่าเป็นเพียงช่างภาพธรรมดา เป็นคนนอกโรงละครมรดกใหม่ เรื่องราวต่างๆ จึงถูกเล่าผ่านมุมมองของคนที่ได้รู้ได้เห็นได้ฟังในหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่อง “ระนาดเอกทางเปลี่ยน” นี้อย่างตรงไปตรงมา..


อย่างที่บอกไปแล้วว่ากองถ่ายในเช้านั้นยกกันไปที่ริมแม่น้ำโขง เป็นพิกัดที่ไกลจากที่พักและตัวเมืองมาก แต่ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้นั่นแหละว่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ระยะทางก็หาใช่ปัญหา


หัวรุ่งวันนั้น แชมป์ขับรถกระบะคันหนึ่งวิ่งจากบ้านพักแถวตำบลเชียงกลม อำเภอปากชม เข้าเมืองเลย เป็นระยะทางราว 70 กิโลเมตรที่เขาคุ้นเคยดี ถนนโล่ง แชมป์ใช้เวลาขับไม่เกินชั่วโมงก็ไปถึงร้าน อาหารเสร็จสรรพตามเวลากำหนด แต่แชมป์ยังรับกลับไม่ได้เพราะต้องโอนค่าอาหารให้เขาก่อน แชมป์ไม่ใช่ฝ่ายบัญชี ไม่ใช่คนถือเงิน และตัวเขาเองก็ไม่มีเงินในกระเป๋าเพียงพอต่อการสำรองจ่ายไปก่อน แชมป์โทรหาสตางค์ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายอาหารและสวัสดิการ และสตางค์เป็นคนเลือกสั่งอาหารจากร้านนี้ แต่ตัวสตางค์เองกลับไปคลองหก ปทุมธานีก่อนแล้ว สตางค์บอกเงินในบัญชีไม่มี ให้ขอพี่จิ๊บซึ่งดูแลควบคุมการใช้เงินในกองถ่ายมาจ่ายก่อน แชมป์ต่อสายหาพี่จิ๊บ ถูกพี่จิ๊บตอกกลับมาว่าบริหารจัดการในส่วนนี้ยังไง เงินก็ให้ไปแล้วก่อนหน้านี้ ที่เหลืออยู่ก็ไม่พอเพราะเพิ่งไปซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในกองถ่ายมาเหมือนกัน


แชมป์นั่งหน้าแห้งคอตก แม้จะต่อรองกับเจ้าของร้านว่าขอรับอาหารไปก่อน และจะหาเงินมาโอนเข้าบัญชีให้ในวันนั้น แต่เจ้าของร้านหาได้ยินยอม แชมป์จึงต้องนั่งรอให้พวกที่จัดการบัญชีหาเงินมาจ่ายโดยเร็ว และกว่าจะจัดการได้เวลาก็เคลื่อนผ่านจากเช้ามืดจนฟ้าสาง


แชมป์ขับรถเซ็งๆ ออกจากร้าน แวะมารับผมซึ่งนั่งรออยู่ บขส.ตั้งแต่ก่อนตีสี่ แชมป์เล่าถึงสาเหตุที่ล่าช้า ผมชะโงกมองกระบะท้ายรถ เห็นเมนูอาหารสามอย่างคือผัดผัก แกงเขียวหวาน น้ำพริก และแตงโมผ่าเป็นชิ้นสีแดงฉ่ำจัดเรียงอยู่ในถาด พลาสติกใสบางห่อไว้มิดชิด แปลกใจว่าทำไมไม่ใส่หม้อ พอถามแชมป์ก็ตอบว่า แบบนี้ก็สะดวกดี ขับไปเรื่อยๆ รับรองว่าไม่หก


ออกจาก บขส. ตอนนั้นหกโมงกว่าแล้ว ผมถามแชมป์ว่าเราจะเข้าไปหน้ากองถ่ายที่เชียงคานเลยใช่ไหม แชมป์บอกใช่ “สักเจ็ดโมงครึ่ง หรือก่อนแปดโมงก็ถึงแล้วพี่” แชมป์ยืนยัน

รถของเราออกจากตัวเมืองเลยได้ไม่เท่าไหร่ เสียงโทรศัพท์ซึ่งโทรผ่านแอพแมสเซนเจอร์ก็ดังขึ้น หลังการสนทนาแชมป์บอกว่าเราต้องเปลี่ยนเส้นทาง จากต้องวิ่งตรงไปเชียงคานเป็นต้องเลี้ยวขวาที่บ้านธาตุ กลับไปบ้านพักที่เชียงกลมเพื่อเอาของบางอย่าง..

“พี่อาร์ลืมสายแจ๊คบันทึกเสียง แกบอกให้เราไปเอาสายแจ๊คให้ครับพี่”


ระยะทางจากบ้านธาตุไปบ้านพักที่เชียงกลมราว 60 กิโลเมตร และจากบ้านพักไปกองถ่ายอีกกว่า 50 กิโลเมตร คำนวณเวลาคร่าวๆ เราแทบไปหน้ากองถ่ายไม่ทันก่อนแปดโมง “ยังไงก็ต้องไปเอาสายแจ๊คครับพี่ ไม่มีสายแจ๊คก็บันทึกเสียงไม่ได้” แชมป์กดน้ำหนักลงเกือบเต็มเท้า รถพุ่งเร็วจากก่อนหน้าเป็นเท่าตัว ขณะที่เส้นทางก็คดเคี้ยวไปตามเนินเขามากขึ้น เสียงโทรศัพท์ผ่านแอพแมสเซนเจอร์ของแชมป์ดังขึ้นรัวๆ ..กิ๊กซึ่งอยู่หน้ากองถ่ายโทรมาเร่งให้รีบบึ่งไปที่หน้ากอง สายแล้ว ทุกคนรอกินข้าว.. สตางค์โทรถามเรื่องค่าอาหารและรายละเอียดเพื่อจดทำบัญชี.. พี่จิ๊บซึ่งอยู่หน้ากองก็โทรมาเร่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมช้า.. พี่อาร์ซึ่งก็อยู่หน้ากองก็โทรมากำชับว่ายังไงก็ต้องไปเอาสายแจ๊คให้ได้..


พอเดาได้ว่าปลายสายแต่ละคนเริ่มร้อนรนเพราะถูกผู้กำกับจี้ถามสาเหตุแล้วว่าทำไมรถขนเสบียงจึงล่าช้าจากเวลาที่กำหนด ขณะที่ในห้องโดยสารของรถขนเสบียงภาวะเคร่งเครียดนั้นอวลอยู่เต็ม ผมเหลือบมองดูแชมป์ เม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผากทั้งที่เปิดแอร์จ่อหน้า ความเร็วรถพุ่งไปข้างหน้าอย่างหวาดเสียว ครั้งหนึ่งหลังเสียงพูดคุยทางโทรศัพท์ใบหน้าของแชมป์ยิ่งดูเคร่งเครียด และจู่ๆ เขาก็ระเบิดเสียงร้องออกมา

“ไม่ใช่ความผิดกูเลยโว้ยยยย!”

ขณะที่ข้างหน้าเป็นโค้งลงเขา เท้าขวาของเขากดลงไปพร้อมกับปากที่ตะโกนลั่น รถพุ่งแทบหลุดโค้ง

ยังดีที่ไม่มีรถวิ่งสวน ผมหัวใจหล่นวูบ นิ่งเงียบ ตัวเกร็ง เท้าจิกพื้นแทบเป็นตะคริว

ไม่รู้จะโกรธหรือเห็นใจเขาดี..


“เราเกือบตายเพราะแจ๊คเส้นเดียวแล้วนะแชมป์”

ผมอัดอั้น รู้สึกต้องพูดอะไรสักอย่างแล้ว “เอาเท่าที่ได้ว่ะ ต่อให้เหยียบเร็วกว่านี้ เราก็ไปสายอยู่ดี..ไปถึงช้ายังดีกว่าแหกโค้งตายกันทั้งคู่”

แชมป์ประคองรถด้วยสติที่ดีขึ้นแม้ความเร็วยังอยู่ในระดับสูง รถวิ่งไปจนมองเห็นหมู่บ้านซึ่งที่เป็นที่พักแรมอยู่ข้างหน้า พลันนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก “ไม่ต้องใช้สายแจ๊คนั่นแล้ว ของทีมกล้องมี ใช้กันได้พอดี ขับมาหน้ากองถ่ายได้เลย” ผมกับแชมป์สบถชื่อสิงสาราสัตว์ออกมาแทบพร้อมกัน



เชื่อว่าทุกคนคงเป็นเหมือนกัน..บนท้องถนน ยิ่งเรารีบก็มักเจออุปสรรคขัดขวาง

นั่นล่ะครับ ภายหลังจากที่เราเบนหัวรถออกมาจากหมู่บ้าน แชมป์ก็ตั้งใจขับและพยายามทำความเร็วเพื่อแข่งกับเวลา แต่บนถนนช่วงเช้าของวันนั้น การจราจรแม้ไม่หนาแน่น แต่เต็มด้วยรถแต๊กๆ ของชาวบ้านที่วิ่งออกไปไร่ไปนาอยู่เป็นระยะ ซึ่งจังหวะที่เราจะแซงก็มักเจอรถวิ่งสวนมาข้างหน้าอยู่เสมอ บางช่วงของถนนก็บีบช่องจราจรด้วยสาเหตุอันใดไม่ทราบ ทำให้รถขนเสบียงของเราทำความเร็วอย่างที่ต้องการไม่ได้เลย แชมป์ขับตามตูดรถแต๊กๆ ไปอย่างหงุดหงิดขณะที่เสียงโทรศัพท์ก็โทรเช็กว่าถึงไหนแล้ว..ถึงไหนแล้ว..อยู่นั่นแหละ อ่อ หนำซ้ำยังมีสายหนึ่งโทรเข้ามาบอกว่าให้แชมป์แวะไปเอากล้วยดิบเครือใหญ่ที่บ้านคนรู้จักหลังหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างทางที่เราจะผ่านด้วย..

“ยังไงก็ต้องไปเอาให้ได้ กล้วยเครือนี้เป็นพร็อพสำคัญนะโว้ย!”


สายจากหน้ากองกำชับและเราต้องแวะรถไปตามหากล้วยเครือสำคัญให้ได้

และแล้วเราก็ไปถึงหน้ากองถ่าย..

แชมป์เลี้ยวรถออกจากถนนใหญ่ รถกระเด้งกระดอนไปบนทางแคบและขรุขระจนไปจอดบนลานดินที่มีรถกองถ่ายกับรถทีมงานจอดอยู่ แชมป์โทรบอกน้องๆ ให้มาช่วยยกสำรับอาหาร ตอนนั้นเวลาปาเข้าไปเกือบสิบโมงเช้า


ลงจากรถไปเปิดกระบะท้าย กลิ่นแกงลอยคลุ้ง ถาดอาหารกระจัดกระจาย น้ำแกงเขียวหวานกระฉอกจนนองเต็มพื้นกระบะ ถาดแตงโมถาดหนึ่งคว่ำ อีกถาดตะแคง พลาสติกหุ้มห่อฉีกขาด เนื้อแตงโมสีแดงฉ่ำกองเกลือกน้ำแกงเขียวหวานอยู่อีกมุมหนึ่ง.. ผมมองหน้าแชมป์ซึ่งตอนนั้นใบหน้าเขาดูซีดเหลืองอย่างเห็นได้ชัด เดินเข้าไปตบบ่าเขาแล้วพูดขำๆ ทำลายความเงียบว่า “อาหารมื้อนี้พิเศษจริงๆ”

กอบอาหารที่ยังใช้ได้ลงถาด แตงโมสองถาดเหลือพอกินได้อยู่ถาดละไม่ถึงครึ่ง หมวยกับชานเดินหน้ามุ่ยเข้ามาช่วยกันลำเลียงอาหารไปหน้ากองถ่าย

“เมื่อเช้าครูช่างโมโหมากเลย ถามอะไรก็ไม่มีฝ่ายไหนพร้อม”


หมวยพูดน้ำเสียงเซ็งๆ แล้วเดินนำลงไปบนทางทรายที่ทอดสู่ลำโขง แชมป์แบกถังน้ำตามไปเงียบๆ

ระหว่างที่เดินตามกันไปนั้น น้องนา-เด็กโจงแดงบ้านเรียนละครมรดกใหม่ ที่ช่วยพี่กิ๊กดูเรื่องเสื้อผ้าเดินขากะเผลกสวนขึ้นมา สีหน้าเธอเศร้า ขอบตาแดงก่ำ เราทักทายกันแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ นาบอกว่าเดินไปเหยียบเบ็ดเก่าตรงริมน้ำ คมเบ็ดนั้นใหญ่จนทิ่มทะลุหัวนิ้วเท้า ปักคาอยู่ตรงซอกเล็บ กว่าจะช่วยกันดึงออกได้และปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เธอก็ร้องไห้ไปตั้งหลายยก...ความเจ็บปวดจากบาดแผลและการที่ช่วยงานใครไม่ได้นี่เองที่เพิ่มความเศร้าลงไปบนสีหน้าของเธอ

“จำไว้เลยว่าอาหารสำคัญ เจ็ดโมงหรืออย่างช้าก่อนแปดโมงอาหารต้องมาถึงหน้ากองแล้ว”


ครูช่าง-ผู้กำกับ ใส่เราทันทีที่เห็นหน้า

“สิบโมงแล้วพี่ทัดกับทีมงานยังไม่ได้กินอะไรเลย”

ครูหมายถึงอาสุทัศน์ตากล้องและทีมช่างภาพอีกสี่ห้าคน เราบอกครูไปว่าพยายามทำเวลาแล้ว ครูรับฟังแล้วบอกทุกคนว่าวันต่อไปฝ่ายไหนมีปัญหาอะไรให้รีบบอกกัน อย่าเงียบ เพราะบางเรื่องความเงียบไม่ใช่การแก้ปัญหา มีแต่จะหมักหมม และกว่าจะรู้ว่ามีปัญหาก็แก้ไขกันไม่ทัน..แทนที่จะได้ถ่ายฉากสวยๆ กลายเป็นได้แต่นั่งมองภาพ และรู้สึกเสียดายที่ต้องปล่อยบรรยากาศสวยๆ ให้ผ่านไปต่อหน้า

“เมื่อเช้าหมอกลงมาเต็มลำโขง แต่กลับไม่ได้ถ่ายอะไรเลย ไม่มีอะไรพร้อมสักอย่าง”


เสียงครูช่างยังขุ่นไม่หาย

กองถ่ายพักกินข้าวเช้าตอนสิบโมงกว่า ใต้แดดยามสายที่ร้อนบรรลัย ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ นั้นก็ไม่มี ต้องอาศัยพงหญ้าที่เลื้อยสูงตามตลิ่งเป็นจุดกำบัง ดินทรายถูกแดดเผาจนร่วน เดินเบาๆ ฝุ่นก็ฟุ้งตลบ เราจึงนั่งกินข้าวที่เหลือรอดจากการเทกระจาดกันท่ามกลางเปลวแดดและฝุ่นดินกันอย่างเอร็ดอร่อย มีเพียงแชมป์คนเดียวที่ไม่กินข้าว อาร์ทเรียกแชมป์มาตักข้าว บอกอาหารเหลืออีกเยอะ

แชมป์บอก “กินกันเลย..ยังไม่หิว” แล้วเดินกลับขึ้นไปตรงจุดจอดรถ

ผมมองตามหลังแชมป์ ปกติแล้วเขาจะไม่พลาดเรื่องการกิน ทั้งยังกินเยอะกว่าใครเพื่อน หรือเขายังรู้สึกผิดอะไรสักอย่างในใจ จึงบอกคนอื่นว่า ไม่หิว..!



นั่นล่ะครับ เหมือนอย่างที่บอกเอาไว้แต่แรกว่า หากหน้ากล้องคือความงามและการจัดฉาก เบื้องหลังก็คือความจริงซึ่งมีทั้งเสียงหัวเราะและหยดน้ำตา..


เด็กๆ แทบทุกคนล้วนต่างประสบกับมัน หนักบ้าง เบาบ้าง ก็แล้วแต่คน เพียงแต่ไม่หนีปัญหา กล้ารับผิดเมื่อพลั้งพลาด ยอมรับแล้วหาทางออกทางแก้ของปัญหาเท่าที่เรี่ยวแรงและสติปัญญาจะนำพาไปในทิศทางที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด และนี้คือนิยามของกองถ่ายหนังทุกเรื่องไม่เว้นแม้แต่

“ระนาดเอกทางเปลี่ยน” หนังที่เน้นกระบวนการเรียนรู้

โดยแม้แต่ผู้กำกับภาพยนตร์อย่างพี่สืบ บุญส่ง นาคภู่ ซึ่งได้มาเยี่ยมกองถ่ายหนังเรื่องนี้หลายครั้งยังเคยพูดเอาไว้เลยว่า “ระนาดเอกทางเปลี่ยน ไม่ใช่หนังที่ยิ่งใหญ่ในแง่โปรดักชั่น แต่พอได้เห็นกระบวนการสร้างหนังเรื่องนี้ บอกได้เลยว่ามันเป็นวิธีการที่ยิ่งใหญ่มาก


พี่สืบ บุญส่ง นาคภู่

ผู้กำกับภาพยนตร์ไทยชื่อดัง นับเป็นอีกผู้หนึ่งที่มาเยี่ยมกองถ่าย "ระนาดเอกทางเปลี่ยน" ในช่วงที่ถ่ายทำอยู่เป็นเนืองๆ ทุกครั้งที่มา พี่สืบก็ได้ให้คำแนะนำกับน้องๆ ทั้งทีมงานเบื้องหลัง ทั้งนักแสดงเบื้องหน้า อย่างเป็นกันเองและไม่มีกั๊กความรู้เกี่ยวกับการทำหนัง อยู่กันตั้งแต่เช้ายันดึก รู้เห็นกระบวกการทำหนังสร้างโรงเรียนที่ครูช่าง ชนประคัลภ์ ได้ออกแบบเอาไว้อย่างกระจะกระจ่างตา คำพูดที่เขาพูดออกมาจึงสะท้อนกระบวนการสร้างหนังเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุด





ดู 12 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page